วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประวัติวงออร์เครสตรา

ประวัติของวงออร์เคสตร้า
ออร์เคสตร้า เป็นภาษาเยอรมันตามความหมายรูปศัพท์ หมายถึง สถานที่เต้นรำ(Dancing place)
ซึ่งหมายถึง ส่วนหน้าเวทีของโรงละครสมัยกรีกโบราณที่ใช้เป็นสถานที่เต้นรำ และร้องเพลงของพวกนักร้องประสานเสียง ออร์เคสตร้าเป็นคำที่ใช้กับวงดนตรีทุกประเภท เช่น วงดนตรีของชาวอินโดนีเซีย เรียกว่าวงกำเมออร์เคสตร้า(The Gamelan Orchestra) หรือวงกากากุออร์เคสตราของญี่ปุ่น (The Gagaku Orchestra) สำหรับดนตรีตะวันตก ออร์เคสตรามีความหมายถึงวงซิมโฟนีออร์เคสตร้าได้แก่วงดนตรีประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย รวมกับเครื่องลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง และเครื่องตีความหมายของออร์เคสตร้า
ได้เปลี่ยนแปลงไปในสมัยกลาง โดยหมายถึง ตัวเวทีที่ใช้แสดงเท่านั้น ต่อมาในกลางศตวรรษที่ ๑๘
คำว่า ออร์เคสตร้า หมายถึง การแสดงของวงดนตรี ซึ่งเป็นความหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอย่างไรก็ตาม
คำนี้ยังคงใช้ในอีกความหมายหนึ่ง คือ พื้นที่ระดับต่ำ เป็นที่นั่งอยู่หน้าเวทีละครและโรงแสดงคอนเสิร์ต
แต่เดิมแม้จะมีการใช้เครื่องดนตรีเล่นในลักษณะทำนองเดียวกับการร้อง|ในยุคเมดิอีวัล และรีเนซอลส์ แต่วงออร์เคสตร้าไม่มีการระบุเครื่องดนตรีหรือจำนวนเครื่องดนตรีที่แน่นอนในการใช้บรรเลงแต่
ประการใด ต่อมาในศตวรรษที่ ๑๖ เมื่อมีโอเปราเกิดขึ้น ความจำเป็นในการกำหนดเครื่องดนตรีก็เกิด
ขึ้นด้วย เพราะต้องการให้การบรรเลงกลมกลืนไปกับเสียงร้องของนักร้องโอเปราในเรื่อง ออร์เฟโอ
(Orfeo ๑๖๐๗), และมอนเทแยวร์ดี (Montevedi) จึงเริ่มมีการกำหนดเครื่องดนตรีในบทเพลง และเป็นจุดเริ่มการพัฒนาของวงออร์เคสตร้า โดยระยะแรกเป็นลักษณะของวงสายออร์เคสตร้า
(String Orchestra) ซึ่งมีจำนวนผู้เล่น ๒๐-๒๕ คน แต่บางครั้งอาจจะมีมากกว่านี้ ทั้งนี้ ขึ้นกับความ
ต้องการของผู้ประพันธ์เพลง ต่อมาในศตวรรษที่ ๑๗ ออร์เคสตร้ามีการเพิ่มเครื่องลมไม้
และตอนปลายยุคบาโรค (ประมาณ ค.ศ.๑๗๕๐) ผู้ประพันธ์เพลงนิยมบอกจำนวนเครื่องดนตรี
ไว้ในบทเพลงโดยละเอียด นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มเครื่องลมทองเหลือง และเครื่องประกอบจังหวะ
ในวงออร์เคสตร้าด้วยกลางศตวรรษที่ ๑๘วงออร์เคสตร้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายโดยมี
การจัดวางเครื่องสายทุกชนิดอย่างเป็นระบบจนมีลักษณะคล้ายคลึงกับวงออร์เคสตร้าในปัจจุบัน และมีการนำเครื่องดนตรีบางชิ้นมาแทนเครื่องดนตรีที่เคยมีใช้กันมากแต่เดิมเช่นมีการนำฟลุท มาแทน
ขลุ่ยรีคอเดอร์ มีการเพิ่มคลาริเนท เข้ามาในกลุ่มประเภทของเครื่องลมไม้ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี อาจกล่าวได้ว่า ยุคที่วงออร์เคสตร้าเป็นรูปแบบขึ้นมาจนได้มาตรฐาน คือ ยุคคลาสสิก เหตุผล
ประการหนึ่ง คือ บทเพลงประเภทซิมโฟนี นอกจากนี้การบรรเลงเพลงประเภทคอนแชร์โต
โอเปรา และเพลงร้องเกี่ยวกับศาสนาก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้การพัฒนาวงออร์เคสตร้าเป็น
แบบแผนขึ้น กล่าวคือ ทำให้มีเครื่องดนตรีทุกประเภทประกอบเข้าเป็นวง ได้แก่ เครื่องสาย
เครื่องลมไม้ เครื่องเป่า และเครื่องตี โดยในแต่ละกลุ่มเครื่องดนตรีก็มีเครื่องพื้นฐานครบถ้วน เช่น ในกลุ่มเครื่องสายประกอบไปด้วยไวโอลิน วิโอลา วิโอลอนเชลโลและดับเบิ้ลเบสในกลุ่มเครื่องลมไม้
ประกอบไปด้วย ฟลูท คลาริเนท โอโบ บาสซูนในกลุ่มของเครื่องลมทองประกอบไปด้วย ฮอร์น
ทรัมเปต และทูบา ในกลุ่มของเครื่องตีจะมีกลองทิพพานี กลองใหญ่ และเครื่องทำจังหวะอื่น ๆ
ซึ่งในรายละเอียด การจัดวงจะมีแตกต่างไปบ้างตามความต้องการของผู้ประพันธ์เพลง เช่น
บางครั้งอาจจะมี ฮาร์พ ปิกโกโล เพิ่มเข้าไปด้วย เป็นต้นในตอนต้นของศตวรรษที่ ๑๙ เบโธเฟน ได้ปรับเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกี่ยวกับจำนวนเครื่องดนตรี เช่น เพิ่มฮอร์นเป็น ๔ ตัว และเติมเครื่องตี
ต่าง ๆเช่น ฉาบ สามเหลี่ยม เข้าไป ในราวกลางศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งเป็นยุคโรแมนติกได้มีการเพิ่ม
เครื่องดนตรีเข้าไปทำให้ออร์เคสตร้าเป็นวงที่ใหญ่ขึ้น เช่นเบร์ลิโอส (Berlioz) ได้เพิ่ม
เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าทั้งหลายเป็นอย่างละ ๔ เครื่องทั้งหมด ประเภทเครื่องสาย
เช่น ไวโอลิน เพิ่มเป็น ๒๘ เครื่อง ซึ่งแต่เดิมมีประมาณ ๑๐-๑๒ เครื่องเท่านั้นนักประพันธ์
แนวโรแมนติก เช่น บราห์มส์ (Brahms)เมนเดลซอน (Mendelssohn) และชูมานน์
(Schumann) ล้วนแต่ต้องการวงออร์เคสตร้าขนาดใหญ่ทั้งสิ้นเพื่อแสดงพลังของบทเพลง
ที่ตนประพันธ์ขึ้นมา บางครั้งจึงต้องการผู้เล่นถึง ๑๐๐ คนต่อมาในยุคโรแมนติกความนิยม
ในบทเพลงประเภทบรรยายเรื่องราว (Symphonic poem)มีมากขึ้น ซึ่งบทเพลงประเภทนี้
มีส่วนทำให้มีการเพิ่มขนาดของ วงออร์เคสตร้าไปด้วย เพราะบทเพลงประเภทนี้ต้องการเล่าเรื่อง
โดยใช้ดนตรี จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีชนิดต่างๆ บรรยายเรื่องราวให้ได้ตามที่ผู้ประพันธ์เพลง
ตั้งใจไว้ นอกจากนี้ บทเพลงประเภทโอเปราบัลเลท์ และบทเพลงร้องแบบประสานเสียงต่างก็ล้วนทำให้
วงออร์เคสตร้าต้องเพิ่มขนาดขึ้นเพื่อความยิ่งใหญ่สมจริงสมจังเสมอมาความยิ่งใหญ่ของวงออร์เคสตร้า
ในช่วงศตวรรษที่ ๑๙ จนถึงศตวรรษที่ ๒๐ ได้เริ่มลดลง หลังสงคราม โลก ครั้งที่ ๑เนื่องจากเหตุผล
ทางเศรษฐกิจ และทางด้านสุนทรียรส เช่น จำนวนของเครื่องเป่าที่เคยใช้ถึง ๔ เครื่อง ลดลงเหลือ ๓เครื่อง
และไวโอลิน จะใช้เพียง ๒๔ เครื่อง เป็นต้นแม้ว่าวงซิมโฟนีออร์เคสตร้าในช่วงปลายศตวรรษที่ ๒๐ จะยังมีบทบาทสำคัญในดนตรีตะวันตก แต่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ รวมถึงแนวการประพันธ์เพลงก็มีส่วนในการ
กำหนดวงออร์เคสตร้า อย่างไรก็ดีสิ่งที่ว่านี้ก็มิได้เป็นตัวกีดกั้นการสร้างสรรค์ผลงานที่ใช้วงออร์เคสตร้า
ของผู้ประพันธ์เพลงแต่ประการใด
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น