วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ลักษณะของวงออร์เคสตราในแต่ละยุค

ลักษณะของวงออร์เคสตราในแต่ละยุค
ลักษณะของวงออร์เคสตราในแต่ละยุคแบ่งออกเป็นดังนี้
1) วงออร์เคสตราสมัยบาโรก (Baroque Orchestra)           เป็นวงออร์เคสตราสมัยแรก ๆ ของดนตรีประเภทคลาสสิก มาตรฐานของการจัดวงไม่มี ความแน่นอนนัก ลักษณะการจัดวงโดยทั่วไปจะให้ไวโอลินหนึ่ง (First Violins) อยู่ทางซ้ายมือ ของผู้อำนวยเพลง (Conductor) และให้ไวโอลินที่สอง (Second Violins) อยู่ทางขวามือ วิโอลา และเชลโลอยู่ตรงกลางส่วนดับเบิลเบสอยู่แถวหลังสุดของวง สำหรับเครื่องเป่าลมไม้ (Woodwinds Instruments) อยู่หลังกลุ่มไวโอลินที่หนึ่ง เครื่องเป่าทองเหลือง (Brass Instruments) อยู่ด้านหลังขวา เครื่องประกอบจังหวะ (Percussion) อยู่หลังสุดของวง นอกจากนี้ อาจจะมีฮาร์ปสิคอร์ดเล่นเป็นแนวเบส ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการผู้ประพันธ์เพลงและสถานที่ ที่ใช้ในการแสดงโดยทั่วไปมักมีจำนวนผู้เล่นประมาณ 20-30 คน
2) วงออร์เคสตราสมัยคลาสสิก (Classical Orchestra) 
          นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 วงออร์เคสตราเริ่มมีแบบแผนมากขึ้นบทเพลงที่เขียนขึ้นก็ ้องการใช้ในวงที่มีจำนวนเครื่องดนตรีที่มากขึ้น ลักษณะการจัดวงโดยทั่วไปมีเครื่องดนตรีครบทั้ง 4 กลุ่ม ่วนจำนวนของเครื่องดนตรีแต่ละประเภทนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของวงและบทเพลงที่บรรเลง เนื่องจากว่าผู้ประพันธ์เพลงมักกำหนดจำนวนเครื่องดนตรีแต่ละชนิดเองซึ่งประกอบด้วยเครื่อง ดนตรีดังนี้
กลุ่มเครื่องสาย (
String Instruments)
 ได้แก่ ไวโอลินที่หนึ่ง ไวโอลินที่สอง วิโอลา เชลโลและดับเบิลเบส
กลุ่มเครื่องลมไม้ (
Woodwind Instruments)
 ได้แก่ ฟลูต โอโบ คลาริเนตและบาสซูน
กลุ่มเครื่องทองเหลือง (
Brass Instruments)
 ได้แก่ เฟรนช์ฮอร์น ทรัมเปต และทรอมโบน (บางโอกาส)
กลุ่มเครื่องประกอบจังหวะ (
Percussion Instruments) ได้แก่ กลองทิมปานี (บางครั้งอาจมีเครื่องประกอบจังหวะอื่นประกอบในบางโอกาส)

3) วงออร์เคสตราสมัยโรแมนติก ( Romantic Orchestra) 
          จากต้นสมัยบาโรกจนกระทั่งถึงปลายสมัยคลาสสิกผู้ประพันธ์เพลงต่างก็มีอิสระหลุดพ้นจากการครอบงำในด้านความคิดจึงส่งผลให้ผลงานที่แต่งขึ้นในสมัยนี้มีความสวยสดงดงามทำให้พัฒนาการของวงออร์เคสตรามาถึงจุดที่เป็นมาตรฐาน เนื่องจากมีการใช้สีสันของเครื่องดนตรีที่แตก ต่างกันมาใช้ในการแต่งเพลงจึงมีความหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีเข้า ไปเพื่อรองรับความคิดดังกล่าว เพื่อคุณภาพของเสียงที่แสดงพลังอำนาจของวงออร์เคสตราอย่าง แท้จริงจึงทำให้วงออร์เคสตราในสมัยนี้มีขนาดใหญ่ ประกอบด้วย
กลุ่มเครื่องสาย (String Instruments) ได้แก่ ไวโอลินที่หนึ่ง ไวโอลินที่สอง วิโอลาเชลโลและดับเบิลเบส
กลุ่มเครื่องลมไม้ (
Woodwind Instruments)
 ได้แก่ ฟลูต โอโบ คลาริเนตและบาสซูน
 กลุ่มเครื่องทองเหลือง (
Brass Instruments)
 ได้แก่ ทรัมเปต ทรอมโบน ทูบาและเฟรนช์ฮอร์น
กลุ่มเครื่องประกอบจังหวะ (
Percussion Instruments) ได้แก่ กลองทิมปานี

4) วงออร์เคสตราสมัยศตวรรษที่ 20 ( The Twentieth Century Orchestra) 
 
          เนื่องจากความเจริญในทุก ๆ ด้านของสมัยนี้จึงทำให้ขนาดของวงออร์เคสตรามีความแตก ต่างกันออกไปตามสภาพสังคมและเศรษฐกิจรวมถึงความเจริญทางด้านเทคโนโลยีได้มีการผลิต เครื่องดนตรีที่ใช้ไฟฟ้าที่เราเรียกว่า“ซินธิไซเซอร์
(Synthesizer) ซึ่งสามารถปรับแต่งเสียงเครื่อง ดนตรีได้เกือบทุกชนิด บางครั้งนำเข้ามาบรรเลงร่วมกับวงออร์เคสตรา จึงทำให้วงออร์เคสตราใน สมัยนี้มีหลายขนาด โดยปกติมักแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ วงออร์เคสตราขนาดเล็กมักประกอบด้วยผู้เล่นไม่เกิน 60 คน และวงออร์เคสตราขนาดใหญ่มักประกอบด้วยผู้เล่นประมาณ 80 -100 คน ซึ่งจำนวนเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ประพันธ์เพลงเช่นกันส่วนใหญ่ กลุ่มเครื่องสายจะเป็นอัตราส่วน 1 ใน 4 ของผู้เล่นทั้งหมด ส่วนเครื่องอื่น ๆ ก็แล้วแต่ความ เหมาะสมและความสมดุล ประกอบด้วยเครื่องดนตรีดังนี้
กลุ่มเครื่องสาย (String Instruments) ได้แก่ ไวโอลินที่หนึ่ง ไวโอลินที่สอง วิโอลาเชลโลและ ดับเบิลเบส
กลุ่มเครื่องลมไม้ (
Woodwind Instruments)
 ได้แก่ ฟลูต พิคโคโล โอโบ คลาริเนตเบสคลาริเนตและบาสซูน
กลุ่มเครื่องทองเหลือง (
Brass Instruments)
 ได้แก่ ทรัมเปต ทรอมโบน ทูบา และ เฟรนช์ฮอร์น
กลุ่มเครื่องประกอบจังหวะ (
Percussion Instruments) ได้แก่ กลองทิมปานี
                นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเครื่องดนตรีที่นำมาบรรเลงร่วมในวงออร์เคสตราในสมัยนี้ประกอบด้วย ฮาร์ป เปียโนและออร์แกน (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทเพลงนั้น ๆ ) ส่วนในกลุ่มของเครื่องประกอบจังหวะที่ เพิ่มเข้ามาด้วยเหตุผลเดียวกัน ประกอบด้วย กลองทิมปานี กลองเล็ก กลองใหญ่ ฉาบ กิ่ง ระฆังราว ฆ้อง ไซโลโฟนและวู้ดบล็อก
จากข้างต้นที่กล่าวมาเกี่ยวกับขนาดของวงออร์เคสตรานั้นได้กำหนดจำนวนของผู้เล่นพอ สรุปได้ดังนี้
- วงออร์เคสตราขนาดเล็ก (
Small Orchestra) มีผู้เล่นประมาณ 40-60 คน
- วงออร์เคสตราขนาดกลาง (
Medium Orchestra)
 มีผู้เล่นประมาณ 60-80 คน
- วงออร์เคสตราขนาดใหญ่ (
Full Orchestra) มีผู้เล่นประมาณ 80-100 คน
                ขนาดของวงออร์เคสตร้าจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กนั้นให้ถือเอากลุ่มเครื่องสายเป็น หลักสำคัญ ในการจัดขนาดของวง
 
วงออร์เคสตรายุคศตวรรษที่ 20 ( The Twentieth Century Orchestra)
ที่มา : Microsoft The Attica Guide To Classical Music,1996
 
ที่มา : Microsoft Encarta'95,1995
กลุ่มเครื่องประกอบจังหวะ
5) วงแชมเบอร์มิวสิค (Chamber Music)
                วงดนตรีประเภทแชมเบอร์มิวสิคจัดเป็นการผสมวงดนตรีของตะวันตกอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีความเป็นมายาวนานมากนับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 14 หรือยุคกลาง (
Middle Age) เป็นต้นมา ได้มีการผสมวงโดยซึ่งพบในบทเพลงโมเต็ท (Motet) และแมดริกัล (Madrigal) ซึ่งเป็นบทเพลงขับร้อง นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 14 จนถึงต้นศตวรรษที่ 16 เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายและเครื่องลมได้เข้ามาบรรเลงร่วมกับการขับร้อง
                
Webster's Dictionary ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า " แชมเบอร์มิวสิค" ไว้ว่า "Instrumental music suitable for performance in a chamber or a small audience hall" ซึ่งศาสตราจารย์ไขแส ศุขะวัฒนะ (2525:20) แปลเป็นภาษาไทยว่า " ดนตรีประเภทบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่เหมาะสำหรับแสดงภายในห้องโถงหรือสถานที่ที่จุผู้ฟังได้เพียงจำนวนน้อย" หรือจะเรียกดนตรีประเภทนี้ว่า แชมเบอร์มิวสิคเป็นดนตรีของนักดนตรี (musicians' music) , ดนตรีของมิตรสหาย (music of friends) และ ดนตรีในหมู่เพื่อนฝูง (music among friends)

                ในสมัยแรก ๆ วงดนตรีประเภทนี้เหมาะสำหรับการบรรเลงในบ้าน คฤหาสน์ของขุนนาง หรือห้องที่จุผู้ฟังได้จำนวนน้อยซึ่งผู้จัดงานมีแขกพอประมาณ ต่อมาวงแชมเบอร์มิวสิคเล่นในห้องโถงที่มีขนาดใหญ่ และในที่สุดต้องเล่นในคอนเสิร์ตฮอลล์ (
Concert hall) หรือสังคีตสถาน อย่างเช่นศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น การฟังดนตรีประเภทแชมเบอร์มิวสิคต้องมีความรู้ความเข้าใจเช่นเดียวกับการฟังดนตรีคลาสสิกทั่ว ๆ ไป      
                เนื่องจากดนตรีประเภทนี้ใช้ผู้เล่นเพียงไม่กี่คน ฉะนั้นเสียงที่ออกมาจะยิ่งใหญ่มโหฬารหรือความมีพลัง อย่างวงออร์เคสตราก็ทำไม่ได้ ลักษณะเด่นของวงดนตรีประเภทนี้ก็คือเสียงดนตรีที่แท้จริง สำหรับด้านคุณภาพของการเล่นนั้นผู้เล่นต้องใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ผู้ใดเล่นผิดพลาดจะได้ยินอย่างเด่นชัด ความถูกต้องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของดนตรีประเภทนี้

             การฟังเพื่อให้ได้รสชาติที่สมบูรณ์ของแชมเบอร์มิวสิคนั้นไม่ได้อยู่แต่เพียงความตั้งอกตั้งใจฟังอย่างไตร่ตรอง แต่ยังต้องอาศัยบรรยากาศที่เอื้อต่อการฟังอีกด้วย
เนื่องด้วยดนตรีประเภทนี้บรรเลงด้วยกลุ่มนักดนตรีเพียงไม่กี่คนประกอบกับไม่ได้มีการใช้เครื่องขยายเสียงหรือตู้แอมป์ สถานที่ที่เหมาะกับการบรรเลงและการฟังจึงควรเป็นห้องโถงตามบ้าน หรือห้องฟังดนตรีขนาดเล็กเพราะผู้ฟังทุกคนสามารถฟังเสียงของเครื่องดนตรีทุก ๆ ชิ้นได้อย่างชัดเจนและสัมผัสกับดนตรีได้อย่างใกล้ชิดวง
แชมเบอร์มิวสิคจะมีชื่อเรียกต่างกันออกไปตามจำนวนของผู้บรรเลงต้องมีนักดนตรีตั้งแต่สองคนขึ้นไปถึงเก้าคนดังนี้
- ผู้บรรเลง 2 คน เรียก ดูโอ (
Duo)
- ผู้บรรเลง 3 คน เรียก ทริโอ (
Trio)
- ผู้บรรเลง 4 คน เรียก ควอเต็ต (
Quartet)
- ผู้บรรเลง 5 คน เรียก ควินเต็ต (
Quintet)
- ผู้บรรเลง 6 คน เรียก เซกซ์เต็ต (
Sextet)
- ผู้บรรเลง 7 คน เรียก เซพเต็ต (
Septet)
- ผู้บรรเลง 8 คน เรียก ออคเต็ต (
Octet)
- ผู้บรรเลง 9 คน เรียก โนเน็ต (
Nonet)
ในการเรียกชื่อวงแชมเบอร์มิวสิคนั้นยังมีประเพณีในการเรียกอีกอย่างคือเรียกชื่อประเภทของเครื่องดนตรีก่อนแล้วตามด้วยจำนวนเครื่องดนตรีเช่น สตริงควอเต็ต หมายถึงวงแชมเบอร์มิวสิคที่ประกอบด้วย ไวโอลิน 2 คัน, วิโอลาและเชลโล เป็นต้น
                เครื่องดนตรีที่นำรวมกันเป็นวงแชมเบอร์มิวสิคนั้นที่นิยมแพร่หลายนั้นได้แก่กลุ่มเครื่องสาย ตระกูลไวโอลิน เพราะสุ้มเสียงของเครื่องตระกูลนี้ไม่ว่าจะเป็นไวโอลิน
, วิโอลา, และเชลโล ล้วนสามารถกลมกลืนเข้ากันได้เป็นอย่างดี เช่น วงสตริงควอเต็ต ( ไวโอลิน 2 คัน, วิโอลาและเชลโล) ซึ่งถือว่าเป็นวงดนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการผสมวงดนตรีประเภทนี้ควรเป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในตระกูลเดียวกันเพราะสุ้มเสียงที่มีสีสัน (Tone color) เดียวกันอีกทั้งยังไม่มีการแสดงความเด่นข่มสุ้มเสียงอื่น

 
การผสมวงที่ใช้เครื่องสายไวโอลิน 2 คัน รวมเรียกว่า " สตริงดูโอ" (String Duo) ในงานของ ลุยส์ ชโปร์ ( ค. ศ.1784-1859) คีตกวีและนักไวโอลินชาวเยอรมัน และของบาร์ท้อค
          ในยุคบาโรคการได้มีการปรับปรุงการจัดวงแชมเบอร์มิวสิคได้รู้จักกันในชื่อว่า " ทริโอโซนาตา" (Trio sonata) โดยโซนาตาชนิดนี้มีผู้บรรเลง 4 คน คือ ผู้บรรเลงเดี่ยว 2 คน และผู้บรรเลงแนวล่างสุดหรือ คอนตินูโอ (Continuo) อีก 2 คน ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนผู้บรรเลง 4 คนก็ตามแต่ให้ถือว่ามี 3 แนว คือ สองแนวแรกเป็นแนวของเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว และแนวที่สามนั้นเป็นของเครื่องดนตรีคอนตินูโอ เช่น บาโรคทริโอโซนาตา ประกอบด้วย ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ 2, ฮาร์พซิคอร์ดและเชลโล
  
นอกจากนี้ยังมีการผสมวงแบบต่าง ๆ ด้วยเครื่องสายและเปียโน เช่น เปียโนทรีโอ ( เปียโน, ไวโอลินและเชลโล)
          ปัจจุบันในประเทศไทยเราก็ได้มีการพัฒนาวงดนตรีประเภทแชมเบอร์มิวสิคขึ้นมาเช่นกันโดยการนำเอาเครื่องดนตรีตระกูลแซ็กโซโฟน ( โซปราโน, อัลโต, เทเนอร์และบาริโทนแซ็กโซโฟน) มารวมกันเป็น " วงบางกอกแซ็กโซโฟนควอเต็ต" โดย รองศาสตราจารย์ ดร. สุกรี เจริญสุข และสมาชิก ตั้งแต่ปี พ. ศ. 2532
  
การผสมวงที่ใช้เครื่องลมบางชนิดรวมกัน เช่น โอโบ 2, คลาริเนท 2 , บาสซูน 2 และ แตรเฟรนช์ฮอร์น 2 รวมเรียกว่า " วินด์อ๊อคเต็ต" (Wind Octet)
  
  
          นอกจากนี้ยังมีคำว่า " อองซองค์เบิล" (Ensemble) เป็นภาษฝรั่งเศส ซึ่งมีความหมายว่า " ด้วยกัน" เป็นลักษณะของการบรรเลงดนตรีจากผู้เล่นหลาย ๆ คนมีจำนวนผู้เล่นไม่เกิน 20 คน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจในการแสดงของทุกคนรวมถึงความสามารถของนักดนตรีแต่ละคน
ในกรณีที่กลุ่มนักดนตรีไม่ว่าชนิดที่มีเฉพาะผู้เล่นเครื่องสายล้วน ๆ และมีผู้เล่นเครื่องลมผสมอยู่บ้างแต่รวมแล้วไม่เกิน 30 คน โดยสัดส่วนของวงเช่นเดียวกับวงออร์เคสตรา กลุ่มนักดนตรีนี้ก็จะเรียกว่า " วงออร์เคสตราแชมเบอร์มิวสิค" (Chamber Orchestra)
ลักษณะการผสมวงแบบแชมเบอร์มิวสิคนี้หากนักดนตรีที่มารวมกันนั้นเป็นนักศึกษามาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ กัน อาจเป็นการรวมวงระหว่างอาจารย์หรือนักศึกษาที่มีความสามารถทางดนตรีเป็นเยี่ยม เรามักจะเรียกการรวมวงประเภทนี้ว่า " โปรมิวสิคกา ออร์เคสตรา" (Promusica Orchestra)
6) วงแบนด์ (Band)
                วงแบนด์เป็นลักษณะของการผสมวงดนตรีอีกประเภทหนึ่งของตะวันตกที่มีเครื่องดนตรีในกลุ่มเครื่องเป่าเป็นหลักและมีเครื่องดนตรีในกลุ่มเครื่องประกอบจังหวะผสมวงบรรเลงร่วมกัน การผสมวงแบนด์แบ่งตามประเภทได้ดังนี้
2.1 วงคอนเสิร์ตแบนด์ 
ดนตรีที่มีขนาดปานกลางมีผู้นักดนตรีประมาณ 30-45 คน ประกอบด้วยเครื่องดนตรี 3 กลุ่ม คือ
- กลุ่มเครื่องลมไม้ (
Woodwind) ได้แก่ แซ็กโซโฟน , บาสซูน , โอโบ , คลาริเนท ,ฟลูท และปิคโคโล ( ในบางโอกาสมักใช้ผู้เล่นคนเดียวกัน )
- กลุ่มเครื่องทองเหลือง (
Brass) ได้แก่ ทรัมเป็ต , ทรอมโบน , ทูบา , ยูโฟเนียม ,
 เฟรนช์ฮอร์นและคอร์เน็ต
- กลุ่มเครื่องตีประกอบจังหวะ (
Percussion) ได้แก่ กลองทิมปานี , กลองเล็ก , กลองใหญ่ , กิ่ง , มาริมบา , ฉาบ และระฆังราว ( ขึ้นอยู่กับเพลงด้วย )

                วงคอนเสิร์ตแบนด์มักใช้นั่งบรรเลงเป็นหลัก โดยปกติขณะที่นั่งบรรเลงจะต้องมีผู้อำนวยเพลง (
Conductor) คอยควบคุมจังหวะและปรับความสมดุลของเพลงด้วย เพลงที่ใช้บรรเลงมักเป็นเพลงทั่ว ๆ ไปหรือเพลงที่ใช้เฉพาะในงานนั้น ๆ ซึ่งเพลงที่นำมาบรรเลงจะต้องเป็นเพลงที่เขียน ขึ้นมาเพื่อใช้กับวงคอนเสิร์ตแบนด์โดยเฉพาะเท่านั้น เพราะในการเรียบเรียงเสียงประสานนั้นผู้ที่ เรียบเรียง ฯ จะทราบจำนวนและเป็นผู้กำหนดเครื่องดนตรีเอง หากนำเพลงที่เรียบเรียงให้วงที่มีจำนวนนักดนตรีมากมาให้วงที่มีนักดนตรีน้อยเล่นอาจทำให้ทำนองหลักของเพลงขาดหายไปก็เป็นไปได้เนื่องจากจำนวนนักดนตรีไม่เท่ากัน
2.2. วงแตรวง (Brass Band) 
      เป็นวงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบในการเดินแถวของทหาร การสวนสนาม พิธีแห่ต่าง ๆ และใช้บรรเลงประกอบในงานกีฬา ประกอบด้วย 2 กลุ่ม คือ
- กลุ่มเครื่องทองเหลือง (
Brass) ได้แก่ ทรัมเป็ต , ทรอมโบน , ทูบา , ยูโฟเนียม , บาริโทน ,
 เฟรนช์ฮอร์นและคอร์เน็ต
- กลุ่มเครื่องตีประกอบจังหวะ (
Percussion) ได้แก่ , กลองเล็ก , กลองใหญ่ , ในขณะใช้เดินแถวนั้นวงแตรวงจะต้องมีคทากรหรือดรัมเมเยอร์ (Drum Major) เดินถือไม้คทานำหน้าแถวเพื่อทำหน้าที่ให้สัญญาณต่าง ๆ นอกจากนี้วงแตรวงยังถือว่าเป็นต้นแบบของดนตรีแจ๊ส
2.3 วงโยธวาทิต (Military Band) 
      คำว่า " โยธวาทิต " ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง " วงดนตรีที่บรรเลงโดยทหาร ซึ่งมาจากคำว่า โยธ แปลว่า ทหาร รวมกับคำว่า วาทิต แปลว่า ดนตรี หรือผู้บรรเลงดนตรี " วงโยธวาทิตเป็นวงดนตรีที่มีลักษณะคล้ายกับวงคอนเสิร์ตแบนด์ทุกประการเพียงแต่เรียกชื่อต่างกันเท่านั้น กล่าวคือ ในขณะที่วงโยธวาทิตใช้ประกอบการเดินแถวสวนสนามหรือแสดงการแปรแถวกลางแจ้งเราเรียกว่าการ " แสดงดนตรีสนาม " (Display) แต่เมื่อวงโยธวาทิตบรรเลงโดยการนั่งบรรเลงเราเรียกว่า " คอนเสิร์ตแบนด์ " (Concert Band) สำหรับการใช้งานนั้นคล้ายกับวงแตรวง ยกเว้นเครื่องดนตรีที่ประกอบในวงโยธทิตนั้นประกอบด้วยเครื่องดนตรี 3 กลุ่ม คือ - กลุ่มเครื่องลมไม้ (Woodwind) ได้แก่ แซ็กโซโฟน , บาสซูน , โอโบ , คลาริเนท , ฟลูท และปิคโคโล ( ในบางโอกาสมักใช้ผู้เล่นคนเดียวกัน )
- กลุ่มเครื่องทองเหลือง (
Brass) ได้แก่ ทรัมเป็ต , ทรอมโบน , ทูบา , ยูโฟเนียม ,
 คอร์เน็ตและเฟรนช์ฮอร์น
- กลุ่มเครื่องตีประกอบจังหวะ (
Percussion) ได้แก่ , กลองเล็ก , กลองใหญ่ , , ฉาบ

1 ความคิดเห็น:

  1. Titanium Tube - Baojititanium.blogspot.com
    Titanium where is titanium found Tube. This babyliss pro titanium item does not contain anything. Please check back with the manufacturer. T-2595-1 - 928-1229T. This item does not contain anything. Please titanium cookware check titanium ring back with baoji titanium the manufacturer.

    ตอบลบ